More | 2025, Pulp
แม้จะไม่สามารถหวนคืนสู่ยอดเขาได้ แต่สิ่งหนึ่งที่ Pulp ทำสำเร็จในอัลบั้มชุดนี้ คือการเป็น Pulp ที่เรารักอีกครั้ง
More | 2025, Pulp | 11 เพลง, 50 นาที | ★★★½☆
◾ แนวเพลง : อาร์ตร็อก, แชมเบอร์ป็อป, ป็อปร็อก (โพสต์บริตป็อป)
◾ รีวิว :
เกือบ 24 ปีนับถัดจากอัลบั้มชุดที่ 7 อย่าง We Love Life (2001) พัลพ์ (Pulp) ตำนานหัวขบถแห่งวงการบริตป็อป ก็กลับมาอีกครั้งพร้อมกับผลงานอัลบั้มชุดใหม่ที่แฟน ๆ ตั้งหน้าตั้งตารอจนเกือบจะแก่เฒ่า กับอัลบั้มหมายเลข 8 อย่าง More ซึ่งพาชาวอัลเทอร์เนทีฟกลับมาพบปะกับเพื่อนยากเพื่อนเก่า ผู้อาจเป็นไอดอลของใครหลาย ๆ คน แม้ว่าในวันนี้ จะมีช่องว่างอยู่กลางไลน์อัพของพวกเขาในรูปทรงของมือเบสอย่าง Steve Mackey ผู้จากลาโลกใบนี้ไปในปี 2023 ที่ผ่านมาก็ตามแต่ ถึงกระนั้น Mackey ก็มีส่วนร่วมในอัลบั้มชุดนี้ทางอ้อม เพราะการจากไปก่อนเวลาอันควรของเขา ได้จุดชนวนให้เหล่าสมาชิกวงกลับมารวมตัวทำเพลงด้วยกันอีก เพราะถ้าหากพวกเขาไม่รีบรียูเนียนตอนนี้ ก็ไม่รู้ว่าจะได้อยู่ทำเพลงด้วยกันอีกหรือเปล่า

.
ทีนี้เข้าที่ตัวอัลบั้มกันเลยดีกว่า ผมขอพูดแบบทื่อ ๆ เลยนะ More เป็นอัลบั้มที่ตั้งชื่อได้อย่างซื่อตรงต่อแฟนเพลงมาก เพราะแก่นแท้ของอัลบั้มชุดนี้ ไม่ได้เป็นอะไรไปมากกว่าอัลบั้มตามสูตรของ พัลพ์เพียง ‘อีก’ (More) หนึ่งอัลบั้ม ; เรากำลังพูดถึงดนตรีป็อปร็อกบ้าน ๆ แต่งเสียงเครื่องสายสวยสง่า ซาวด์ซินธ์ทะลึ่ง และจังหวะชวนปลุกเร้า ซึ่งมีฟร๊อนแมนคนแปลก อย่าง จาร์วิส ค็อกเกอร์ (Jarvis Cocker) ใช้เสียงร้องบาริโทนนิ่ง ๆ พึมพำและครวญคราง ด้วยจริตจะก้านอันแสนจะล้นเหลือ ซึ่งเรื่องราวและจินตนาการอันว่าด้วยความรัก สายสัมพันธ์ และเรื่องสัปดน อันถูกเล่าผ่านภาษากวีหัวสูงแสนยียวน ที่ทำให้เขาไม่ต่างอะไรไปจาก Leonard Cohen แห่งวงการเพลงอัลเทอร์เนทีฟ หรือ Nick Cave ในเวอร์ชันป็อป ส่วนการนำเสนออัลบั้ม ก็เรียบง่ายไม่มีอะไรมาก เป็นการนำเสนอสไตล์หนังสือเพลง (Songbook) ที่เปิดโอกาสให้เพลงแต่ละเพลงได้มีลมหายใจในที่ในทางของตัวเอง โดยไม่ต้องสนใจภาพใหญ่มวลรวม ขอแค่มีธีมหรือโทนอารมณ์คร่าว ๆ พอเกี่ยวโยงกันได้ก็ถือว่าเป็นอันพอ ถ้าจะมีอะไรต่างไปจากอัลบั้มก่อน ๆ คงจะมีแค่เรื่องของความรู้สึกเปิดอกเปิดใจ ที่น่าจะเป็นผลพวงมาจากอายุอานามที่เพิ่มมากขึ้นของค็อกเกอร์และสมาชิกวง
ด้วยเหตุฉะนี้ ถ้าคุณถอยตัวเองออกมาหนึ่งก้าว แล้วมองอัลบั้มชุดนี้พร้อมไปกับผลงานทั้งแคตตาล็อกของวง คุณจะพบว่า More ไม่ใช่อัลบั้มที่มีความสลักสำคัญอะไรต่อมรดกทางดนตรีที่พวกเขาทิ้งทวนเอาไว้นับตั้งแต่ปี 2001 อย่างที่บอก นี่เป็นเพียงอัลบั้มวงพัลพ์ ‘อีกหนึ่งอัลบั้ม’ ทว่า เมื่อสิ่งที่พัลพ์เป็นโดยตลอด นับแต่พวกเขาไต่ขึ้นสู่ยอดเขาแห่งวงการอัลเทอร์เนทีฟในปี 1992 ผ่านซิงเกิล ‘Babies’ คือการเป็นวงดนตรีระดับแถวหน้าที่ช่วงชิงหัวใจของคนฟังเพลงได้สำเร็จมาโดยตลอด บางทีแล้ว การเป็นอัลบั้มพัลพ์เพียง ‘อีกหนึ่งอัลบั้ม’ ก็ไม่ใช่เรื่องแย่อะไรเลย
.
More จึงเป็นอัลบั้มอาร์ตร็อก/ป็อปร็อก ที่คุณคาดหวังได้จากวงพัลพ์ มันสนุก ยียวน หัวสูง สัปดน ปลุกเร้า และสร้างกำลังใจ จริงอยู่ช่วงแทร็ก 3 ถึง 6 นั้น อาจจะชืดไปบ้าง แต่เพลงกว่าครึ่งของอัลบั้มชุดนี้ ผมรับประกันได้เลยว่าแฟนเพลงพัลพ์จะไม่ผิดหวัง
ตั้งแต่เพลงแดนซ์ร็อกดีดเด้งแสนปลดปล่อย ตามสไตล์อัลท์แดนซ์ยุค ‘80s อย่าง ‘Spike Island’ ; เพลงป็อปโรแมนติกแกมน่าน่าขยะแขยง อย่าง ‘Tina’ อันว่าด้วยความโหยหาในระดับหมกมุ่นซึ่งผู้หญิงที่ค็อกเกอร์ไม่รู้จักเป็นการส่วนตัว ; เพลงอาร์ตร็อก อันว่าด้วยความเหงาที่คืบคลานเข้ามาในหัวใจของคนพึ่งโสดใน ‘Background Noise’ ; เพลงอะดัลท์คอนเทมโพรารีป็อป กึ่งนักร้อง-นักแต่งเพลง ที่ชูงานโปรดักชันละครเล่นใหญ่อย่าง ‘The Hymn of the North’ ซึ่งเล่าถึงความคิดถึงมิตรสหายหรือคนใกล้ตัวที่ย้ายถิ่นฐานออกไป เป็นเพลงที่อบอุ่นหัวใจอย่างยิ่ง การเล่นกับโครงสร้างตามไสตล์โปรเกรสซีฟที่ผันแปรดนตรีไปตามช่วงจังหวะของเนื้อเพลงก็ทำได้ดีมาก ๆ (ความจริงแล้วเพลงนี้เป็นเพลงที่ค็อกเกอร์เขียนไว้ใช้กับละครเวทีของ Simon Stephens ก่อนที่เขาจะนำมันมาดัดแปลงเข้ากับความหวาดหวั่นที่ตนเองมีต่อลูก ในวันที่เขาเติบใหญ่พอจะย้ายออกจากบ้านไป)
แต่ถ้าพูดถึงไฮไลต์ที่โดดเด่นที่สุด ผมคิดคนส่วนใหญ่น่าจะเห็นพ้องต้องตรงกันว่ามันคือเพลง โคตรป็อป-โคตรพัลพ์ กับพลังแห่ง ‘ความรัก’ อย่าง ‘Got To Have Love’ เพลงดิสโก้หลอนหูชวนโยกหัว ที่ถูกสรรค์สร้างมาเพื่อเล่นกับคนฟังในคอนเสิร์ตอย่างแจ่มแจ้งชัดเจน สังเกตจากท่อนบริดจ์ที่ว่า...
“เมื่อความรักห่างหาย ชีวิตก็ห่างหาย
และคุณก็นั่งก้นแบะอยู่งั้นไป 25 ปี
และคุณก็ล้อมกรอบความเสี่ยงจนบิดเบี้ยวและระเบิดออก
และพยายาม และล้มเหลว และทำอัลบั้ม และสร้างห้องขัง
และขังตัวเองเอาไว้
จากสิ่งหนึ่ง สิ่งเดียวที่จะช่วยชีวิตของคุณได้
สิ่งเดียวที่ทำให้คุณกลัวแทบตาย
สิ่งเดียวที่สามารถนำชีวิตกลับคืนมาสู่คุณได้
ดังนั้นแล้ว เรียนรู้ที่จะพูดถึงมัน ด้วยหน้านิ่ง ๆ ใช่
พูดเลย พูดเลย คุณแมงดา*
ถึงเวลาเรียกสติคืนมาได้แล้ว
ถึงเวลาตื่นขึ้นมาพบกับผลพวงของการกระทำ
คุณต้องการอะไร ผมถามหน่อย
พวกคุณทุกคนนี่แหละ ไม่มียกเว้น
ต้องการอะไร พูดออกมา
แบบ คุณรู้ไหมเนี่ยว่ามันสะกดยังไง?
ได้ ผมจะสะกดให้คุณเอง ได้
แบบนี้เลย แอล-โอ-วี-อี
สะกดเลย แอล-โอ-วี-อี ช่ายยยยย”
(“When love disappears, life disappears
And you sit on your backside for twenty-five years
And you hedge your bets and twist and bust
And try and fail and work on an album and build a jail
And lock yourself away
From the one thing, the one thing that could save you
The one thing that scares you to death
The only thing that can bring you back to life
So learn to say it, whilst keeping a straight face, yeah
Say it, say it, you ponce*
It's time to come to your senses
It's time to wake up and face the consequences
What do you need? I'm asking you a question
Every one of you without exception
What do you need? Speak up!
I mean, do you even know how to spell it?
Well, I'll spell it for you, yeah
It goes "L-O-V-E"
You spell it "L-O-V-E", yeahhhhh”)
*แสลงบริติชที่ใช้เรียกผู้ชายแต่งตัวสาว หรือแมงดา
.
จะมีอะไรที่พัลพ์ไปมากกว่านี้อีก ความสัปดน ความยียวน และความปลุกเร้า นี่แหละคือ ‘กวีป็อป’ สไตล์พัลพ์อย่างแท้จริง ดังนั้น ต่อให้อัลบั้มถัด ๆ ไปของพัลพ์จะเป็นแค่อัลบั้มพัลพ์อีกๆ (Even More) อัลบั้ม ผมก็ยินดีที่จะฟังมันร่ำไป
พัลพ์ที่เรารัก ได้กลับมาแล้ว นั่นแหละคือสิ่งที่สำคัญที่สุด
.
◾ เพลงที่ชอบที่สุด 3 เพลง :
Spike Island
Got To Have Love [แนะนำอย่างยิ่ง]
The Hymn of the North
◾ คุณภาพการมิกซ์และบันทึกเสียง : ค่อนข้างดี